ตัด(ไม่)จบ … ปัญหาคาใจไทยลีก 3

ฮิมต๋าย ฮิมยัง : ร่ายให้ฟังโดย TTDad

เริ่มต้นคอลัมน์ ฮิมต๋าย ฮิมยัง ใน EP01 ด้วยประเด็นร้อน ๆ ในศึกออมสิน ลีก รีเจินนัล แชมเปี้ยนชิพ 2020 หรือเราเรียกกันจนติดปากว่า T3 กับการ “ตัดจบ” ก่อนจบฤดูกาล อันนำมาซึ่งข้อขัดแย้งใน 2 โซน กับการหาอันดับที่ 2 เพื่อเข้าไปเล่นรอบแชมป์เปี้ยนส์ลีก
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม อันเป็นปฐมบทของความขัดแย้งบนระเบียบการแข่งขันที่ตีความการ “ยุติการแข่งขัน” หรือเรียกสั้น ๆ คือ “ตัดจบ” ทั้งที่ยังมีการแข่งขันเหลืออยู่อีกหลายนัด อันมีเหตุมาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ตารางการแข่งขันเดิมนั้นไม่สามารถดำเนินการได้ และจากผลการประชุมของบรรดาทีมสมาชิกในลีก เสียงส่วนใหญ่มีมติให้ยุติการแข่งขัน ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ด้าน ต่างจาก 2 ลีกบนที่ยังคงเดินหน้าต่อ ขอพักแค่เดือนเดียว
พลันที่การแข่งขันยุติลง อย่างที่เราทราบกันดีว่าหลังจากนั้นจะมีการแข่งขันต่อในรอบ ออมสิน ลีก เนชั่นนัล แชมเปี้ยนชิพ (แชมเปี้ยนส์ลีกเดิม) ที่มีทีมอันดับ 1-2 ของแต่ละโซนเข้ามาร่วมโม่แข้ง เพื่อหา 3 ทีมเลื่อนชั้นไปเล่น เอ็ม 150 แชมเปี้ยนชิพ ฤดูกาล 2021
เมื่อการแข่งขันจบลง ใครกันจะได้สิทธิ์เข้าไปร่วมโม่แข้ง ก็ต้องมาดูกันที่ตารางว่าทีมอันดับ 1-2 ในแต่ละโซนคือทีมใด ซึ่งหลังจากการประชุมของทีมในแต่ละโซน เมื่อวันที่ 5 มกราคม ทีมที่ได้สิทธิ์ของแต่ละโซนได้แก่

  • โซนตะวันออก : ปลวกแดง ยูไนเต็ด (แชมป์โซน) ฉะเชิงเทรา ไฮเทค เอฟซี (รองแชมป์โซน)
  • โซนตะวันออกเฉียงเหนือ : อุดร ยูไนเต็ด (แชมป์โซน) เมืองเลย ยูไนเต็ด (รองแชมป์โซน)
  • โซนตะวันตก : เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด (แชมป์โซน) ราชประชา (รองแชมป์โซน)
  • โซนใต้ : สงขลา เอฟซี (แชมป์โซน) กระบี่ เอฟซี (รองแชมป์โซน)
  • โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล : ม.นอร์ทกรุงเทพ (แชมป์โซน) บางกอก เอฟซี (รองแชมป์โซน)
  • โซนเหนือ : ลำพูน วอริเออร์ (แชมป์โซน) พิษณุโลก เอฟซี (รองแชมป์โซน)

มองเผิน ๆ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ใน 2 โซนก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่ออันดับ 2-3 มีประเด็นที่ต้องมาพิจารณาว่าทีมใดกันแน่เป็นอันดับ 2 ได้แก่ โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มี นนทบุรี ยูไนเต็ด ส.บุญมีฤทธิ์ อันดับ 2 ในตารางคะแนน ส่วนอันดับ 3 บางกอก เอฟซี ทั้งคู่มีคะแนนเท่ากัน นนทบุรีฯ มีประตูได้-เสียที่ดีกว่า แต่กลับเป็นบางกอก เอฟซี ที่ได้อันดับ 2 แทนจากการพิจารณาผลที่ทั้งสองทีมเจอกันมา หรือเฮด-ทู-เฮด ที่เป็น บางกอก เอฟซี ทำได้ดีกว่า จึงได้สิทธิ์ไป
อีกคู่เป็นโซนเหนือ แม่โจ้ ยูไนเต็ด อันดับ 2 และ พิษณุโลก เอฟซี อันดับ 3 ซึ่งแม่โจ้ มีคะแนนมากกว่า 1 คะแนน แต่แข่งมากกว่า 1 นัด ผลจากการพิจารณาตามระเบียบการแข่งขัน และมติจากที่ประชุมของโซนเหนือ เป็น พิษณุโลก เอฟซี ที่ได้สิทธิ์เป็นอันดับ 2 ประจำโซนนี้ไป
นำมาซึ่งการอุทธรณ์ของนนทบุรี ยูไนเต็ด ส.บุญมีฤทธิ์ และ แม่โจ้ ยูไนเต็ด ที่ต่างมองว่าทีมของตนไม่ได้รับความเป็นธรรมในการตัดสินในครั้งนี้
มูลเหตุมาจากระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตบอลลีกอาชีพ รายการ “ลีก รีเจินนัล แชมเปี้ยนชิพ” พ.ศ. 2563 (ฉบับลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2563) ข้อ 13 การจัดอันดับ ที่แบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลา
ถ้าการแข่งขันดำเนินไปตามปกติจนครบตามโปรแกรม การจัดอันดับในกรณีที่มีหลายทีมได้คะแนนเท่ากัน ก็จะมาพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ซึ่งจะเริ่มจากผลที่เคยพบกันมา หรือ เฮด-ทู-เฮด ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งต่างจากการจัดอันดับในระหว่างการแข่งขัน ที่จะดูที่ผลต่างประตูได้-เสีย ก่อนเป็นอันดับแรก
เมื่อมีการยุติการแข่งขันในขณะที่ยังไม่ได้เตะให้ครบตามโปรแกรม การจัดอันดับจะไปใช้หลักเกณฑ์ใดระหว่างสิ้นสุดฤดูกาลหรือในระหว่างแข่งขัน นี่จึงเป็นข้อขัดแย้งแรกที่เกิดขึ้น ในขณะที่อีกข้อขัดแย้งก็คือ เมื่อจำนวนนัดที่แข่งไม่เท่ากัน การนับคะแนนตามตารางคะแนน ณ ปัจจุบันจะนำมาใช้ตัดสินได้หรือไม่เมื่อคะแนนมีความห่างแค่ 1 คะแนน เตะมากกว่ากันอยู่ 1 นัด
เมื่อต่างฝ่ายต่างมองการยุติการแข่งขันในความหมายที่ไม่ตรงกัน จึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น เพราะการยุติการแข่งขันทั้งที่ยังไม่จบฤดูกาลนั้น ไม่ใช่เหตุปกติที่จะมีเกิดขึ้นได้เป็นประจำ หากจะย้อนไปหาเหตุการณ์ใกล้เคียงของลีกบ้านเราก็คงพอเทียบเคียงได้ในปี พ.ศ. 2559 ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต
ในปีนั้นการแข่งขันฟุตบอลลีกก็มีอันต้องยุติลง แต่ในปีนั้นในระดับ เอไอเอส ลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 การแข่งขันฤดูกาลปกตินั้นสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังอยู่ในรอบแชมเปียนส์ลีก จนสุดท้ายต้องใช้วิธีการจับสลากเพื่อหาทีมเลื่อนชั้นสู่ “ยามาฮ่า ลีก 1 2017” ซึ่งจะเห็นว่าเงื่อนไขนั้นค่อนข้างแตกต่างในปีนี้พอสมควร

เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมตามที่คาดหวังไว้ การอุทธรณ์จึงเริ่มขึ้น และผลการรับข้ออุทธรณ์มีข่าวเล็ดลอดออกมาว่า ผลการประชุมเดิมที่ให้สิทธิ์ บางกอก เอฟซี และ พิษณุโลก เอฟซี อาจมีคดีพลิกก็เป็นได้ เพราะถ้ายึดตามตารางคะแนน ณ วันที่ยุติการแข่งขัน ทั้งคู่เป็นทีมอันดับ 3 ในตารางคะแนน
มองปัญหาเรื่องนี้กันอย่างไร และจะตัดสินอย่างไร ถ้าถามคำถามนี้ คงมีคำตอบที่หลากหลาย และแน่นอนมีการเสนอทางออกหลายทางด้วยกัน แน่ ๆ ในที่ประชุมของทีมในแต่ละโซนเอง คำถามนี้รวมถึงคำตอบ คงดังก้องในที่ประชุม คงมีการถกกันอย่างออกรส บังเอิญไม่ได้อยู่ในนั้น ก็คงแค่เดาว่ามันคงเป็นเช่นนั้นแหล่ะ
“ยุติการแข่งขัน” เท่ากับ “สิ้นสุดการแข่งขัน” เมื่อมองว่าไม่ครบตามโปรแกรมเท่ากับอยู่ระหว่างการแข่งขัน คะแนนได้เท่าไหร่ตามตารางก็ต้องตามนั้น ใครจะแข่งกี่นัด แพ้ ชนะ กันเท่าไหร่ เป็นเรื่องรอง อีกมุมก็มองว่าเมื่อมันกลายเป็นสิ้นสุดการแข่งขัน ต้องมองที่ผลเฮด-ทู-เฮด จะมาเอาลูกได้เสีย ได้อย่างไรกัน มันจะยุติธรรมได้ยังไง มีปัญหามาก ก็เอาไปทั้งคู่เลยซิ ไม่ต้องมาเสียเวลาเถียงกัน หรือจะดวลกันซักนัดไหมหล่ะ?
แน่นอนพื้นฐานทุกคน ส่วนใหญ่ย่อมตีความเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น เมื่อมันมีเรื่องที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ในระเบียบฯ ก็ไม่มีอะไรที่เขียนไว้ชัดเจนในประเด็นนี้ มันจึงเกิดทางตัน หางทางออกไม่ได้ แน่นอน หากเลือกทางใด ก็ย่อมมีได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์
เรื่องนี้จะไม่เดินทางมาถึงทางตันนี้ ถ้าวันนั้น ก่อนการยุติการแข่งขัน ได้พิจารณาถึงประเด็นต่าง ๆ ให้รอบคอบ ภาษาทางการที่เราอาจเคยได้ยินก็คือ มีการประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการยุติการแข่งขัน มีทีมที่มีมีโอกาสผ่านเข้ารอบแชมเปี้ยนส์ลีกเดิมคะแนนเท่ากันไหม มีความเหลื่อมล้ำเรื่องจำนวนนัดที่ลงเตะไปไหม หรือถ้าจะพิจารณาแล้ว มีกฎกติกาใดที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นนี้หรือไม่ ประกาศปุ๊บ เจอปัญหาปั๊บ ถึงจะเป็นแค่ 2 โซน ก็ทำให้เวียนหัวกันไปทั้งประเทศได้เลย สำหรับแฟนบอลที่ติดตาม

เอาหล่ะ เมื่อมันผ่านจุดนั้นมาแล้ว ถามไปตอนนี้คงไม่ได้ผลดีอะไร คงต้องเดินหน้าและหาทางออก หรือจะผ่าทางตันก็ว่ากันไป หรือต้องการผู้ชี้ขาด ที่มีอำนาจในเรื่องนี้โดยตรง
ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มกราคม ก็มีผลตัดสินออกมาแล้วจากการประชุมสภากรรมการ ของสมาคมฯ “ทุบโต๊ะ” ให้มีการเตะเพลย์ออฟนัดเดียว โดยใช้สนามกลาง จำนวน 2 คู่ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ นี้
ผลการตัดสินแบบนี้ มองยังไง ทัศนะส่วนตัวก็ยังมองว่า เป็นทางออกที่รักษาประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องไปต่อสู้กันบนระเบียบที่ไม่ชัดเจน และต้องตีความ ซึ่งแน่นอนมันต้องใช้เวลาพอสมควรตามกระบวนการ ที่มันจะกระทบกับตารางเวลาของรอบแชมเปี้ยนส์ลีก
เปลี่ยนจากการห้ำหั่นกันบนตัวอักษรมาเป็นการแข่งขันบนสนามหญ้าสีเขียวแทน มันดู “แมน” ในสายตาของผู้ติดตามมากกว่า
คงพูดไม่ได้หรอกว่านี่คือทางออกที่ “ยุติธรรม” กับทีมที่มองว่าตัวเองถูกบีบให้ยอมรับ แต่เชื่อเถอะครับ ทางออกนี้ “ช้ำ” น้อยที่สุดแล้ว ต่อให้ดันทุรังต่อสู้กันไปบนตัวอักษร ชนะแล้วจะได้ผลดีอะไร เกิดแพ้ขึ้นมาแล้วมันจะยิ่งไปกันใหญ่ วางความรู้สึกเช่นนั้น แล้วลงไปต่อสู้เพื่อชี้ชะตาตัวเองบนสนามดีกว่า เพราะยังไงซะ ผ่านตรงนี้ก็ต้องไปเล่นต่ออีกอย่างน้อย 5 เกมอยู่ดี
ถ้าเป็นนักเลงก็เรียกว่า “แลกหมัด” กันไป ใครดีใครอยู่ เชื่อครับว่า ถึงแพ้ก็เป็นการพ่ายแพ้ด้วยตัวเราเอง ไม่ใช่มีใครมา “ยัดเยียด” ให้แพ้บนตัวอักษร หรือถูกรังแกโดยไม่เป็นธรรม
อีกด้านก็ต้องกลับไปพิจารณาระเบียบในปีถัดไป เมื่อมีบทเรียนแล้ว ก็ทำระเบียบกำหนดไว้ให้ชัดเจน อย่าให้เรื่องเดิม ๆ กลับมาซ้ำรอย หลอกหลอนในปีต่อ ๆ ไป เชื่อเหลือเกินว่าทุกทีมในลีก ต่างก็เป็น “มิตร” ซึ่งกันและกัน อย่าให้ระเบียบที่ไม่คลุมเครือแบบนี้มาทำลายความเป็นมิตรระหว่างกันเลย
จริง ๆ ก็ด้อยความรู้เรื่องภาษากฎหมาย แต่อยากจะเสนอสักนิด ถ้าจะเขียนระเบียบให้รัดกุม เช่น จะเป็นอะไรไหมถ้าจะใช้แค่ลูกได้-เสียเป็นเกณฑ์เดียวไปเลย ไม่ต้องเอาเฮด-ทู-เฮดมาว่ากัน ในเมื่อเราเจอกันครบทุกทีมอยู่แล้ว ถ้าเตะไม่เท่ากัน จับคะแนนหารจำนวนนัดซะเลยจะได้ไหม ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่จะไปร่างระเบียบใหม่หลังจากนี้ ข้าน้อยแค่รำพึง

สุดท้ายผลการเตะเพลย์ออฟจะออกมาแบบไหน ทีมไหนจะมาหรือไม่มา 28 มกราคม ก็ได้ถูกจับไปรวมกับเพื่อนพ้องตอนบนสำหรับ แม่โจ้ ยูไนเต็ด หรือ พิษณุโลก เอฟซี โดยนัดแรกจะได้เป็นเจ้าบ้าน ต้อนรับการมาเยือนของ เมืองเลย ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 2 ของโซนตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มนี้มีทีมในโซนเหนือ ตะวันออก และตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งสองทีมจึงต้องใช้ “สนามห้วยม้า สเตเดียม” เป็นเวทีสำหรับชี้ชะตา
ส่วนตอนล่างของประเทศสำหรับ นนทบุรี ยูไนเต็ด ส.บุญมีฤทธิ์ หรือ บางกอก เอฟซี นัดแรกจะได้เป็นเจ้าบ้านรับมือ ราชประชา อันดับ 2 โซนตะวันตก กลุ่มนี้มีทีมที่มาจากโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ใต้ และตะวันตก ร่วมกลุ่ม คู่นี้จะใช้สังเวียนทัพฟ้า “สนามกีฬากองทัพอากาศธูปะเตมีย์” เป็นสถานที่ตัดสิน
ทั้ง 2 เกมจะเตะพร้อมกันในเวลา 15:30 น. วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่จะถึงนี้ ซึ่งทีมอันดับ 2 ของแต่ละโซนจะได้สิทธิ์เป็นเจ้าบ้าน 2 นัด และออกไปเยือน 3 นัด โดยที่นัดแรกจะมีคิวลงเตะกันระหว่าง 6-7 กุมภาพันธ์ ไปจนรู้ผลครบ 3 ทีมที่ได้เลื่อนชั้นในวันที่ 20-21 มีนาคม นู่นเลย บนสถานการณ์ปัจจุบันที่การระบาดของโรคถูกควบคุมได้แล้ว

จะเรียกว่า “ฮิมต๋าย ฮิมยัง” ก็ไม่ได้เกินเลยไปนัก จากการงัดกันที่ตัวหนังสือ ไปเป็นลงไปบู๊ในสนาม ทีมที่หลุดไปก็ยังได้กลับมาชี้ชะตาตัวเองในสังเวียนการฟาดแข้ง
ผลที่ออกมา ใครจะต๋ายแต๊ ใครจะยังอยู่ คงได้รู้กัน วันนั้นตัดสินกันแมน ๆ ไป
เครดิตภาพ : FB https://www.facebook.com/Thaileague1Official

Warut