สัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนมาถึงแล้วครับ วันจันทร์หน้าก็จะเป็นวันแรงงานแห่งชาติ วันที่พี่น้องแรงงานทั้งหลายได้ภาคภูมิใจว่ามีคนให้ความสำคัญกับพวกเขา แม้จะเป็นแค่วาระ 1 ครั้งในรอบปีก็ตาม
ความร้อนที่แผดเผาบ้านเรามาร่วม ๆ เดือน จากแนวความร้อนที่พาดผ่านประเทศเราที่ไล่มาจากอินเดียและอีกหลายประเทศ ทุบสถิติความร้อนในประวัติศาสตร์ในหลายประเทศ
ร้อนจริงครับ ยืนยัน ร้อนแบบไม่เคยพบเคยเจอ
ส่วนที่ยังร้อนต่อเนื่องก็ยังคงเป็นฟุตบอลลีกในบ้านเราครับ ไทยลีก 2 แม้ว่าจะเตะกันมาเกือบครบแล้ว นัดสุดท้ายกำลังจะลงเตะกันในวันอาทิตย์ หกโมงเย็น พร้อมกัน
ถึงขณะนี้ยังไม่มีทีมไหนการันตีการเลื่อนชั้น 100% ถ้ามองกันที่ตารางคะแนน จ่าฝูง ตราด เอฟซี รองจ่าฝูง นครปฐม ยูไนเต็ด เป็น 2 ทีมที่กำตั๋วเลื่อนชั้นอัตโนมัติไว้อยู่ในมือ
แต่ก็ไม่ได้กำแน่น แค่กำไว้หลวม ๆ เพราะ อุทัยธานี เอฟซี ตามหลังพวกเขาแค่แต้มเดียว หรือแม้แต่ คัสตอม ยูไนเต็ด ก็ตามแค่ 2 คะแนนเท่านั้น
ตามทฤษฎีจึงมีแค่เพียง 4 ทีมที่พูดมานี้เท่านั้นที่จะได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติ และยืนรอเพลย์ออฟแน่นอนแล้ว 2 โควตา ส่วนอีก 2 โควตายังคงเปิดกว้างให้ทั้ง ระยอง เอฟซี สุพรรณบุรี เอฟซี อยุธยา ยูไนเต็ด นครศรี ยูไนเต็ด และ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด
ส่วนท้ายตาราง อีก 1 ทีมที่จะต้องตาม อุดรธานี เอฟซี และ แกรนด์อันดามัน ระนอง ยูไนเต็ด ลงไปเล่นไทยลีก 3 จะเป็นการแย่งชิงกันระหว่าง เกษตรศาสตร์ เอฟซี อันดับ 16 กับอีก 2 ทีม สโมสรฟุตบอลราชประชา และ สมุทรปราการซิตี้
ถ้าเกิด เกษตรศาสตร์ เอฟซี สามารถเก็บ 3 คะแนนได้ แล้วอีก 2 ทีมมือเปล่าในนัดสุดท้าย ทั้ง 3 ทีมจะจบการแข่งขันด้วยคะแนนที่เท่ากัน
นั่นจะเกิดการนับคะแนนแบบมินิลีก 3 ทีม ซึ่งสามเส้านี้ ผลงานที่เจอกันเองดีที่สุดจะเป็น สมุทรปราการ ซิตี้ (6 คะแนน) และ สโมสรราชประชา (3 คะแนน) จะเป็นทีมที่ผลงานแย่สุด และจะตกชั้นในบั้นปลาย
นี่แหล่ะครับ เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในโซนหนีตกชั้น แต่ถ้าหาก สโมสรฟุตบอลราชประชา และ สมุทรปราการซิตี้ มีแต้มติดมือไม่ว่าจะกี่แต้มก็ตาม เกษตรศาสตร์ เอฟซี จะไม่มีทางทำแต้มมาพวกเขาได้ และตกชั้นเอง
สนุกแน่นอนครับ แข่งพร้อมกัน ผลการแข่งขันก็จะออกมาพร้อมกัน แต่ถ้าหากคู่ไหนสกอร์ขาด ก็จะได้เห็นเค้าลางได้เร็วว่าทีมไหนจะขึ้นลิฟต์ ทีมไหนจะต้องไปต่อเพื่อแย่งตั๋วใบสุดท้าย และทีมไหนจะร่วงอีก 1 ทีม
ส่วนไทยลีก 1 แชมป์ก็เป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์ไปครองเป็นที่เรียบร้อย และ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ก็เป็นรองแชมป์แล้วเช่นกัน ช่องว่าง 11 คะแนนจากอันดับ 3 กับเกมที่เหลืออีก 3 นัดคือเครื่องการันตี
เมืองทอง ยูไนเต็ด ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 3 มีคะแนนเหนือ การท่าเรือ เอฟซี 1 คะแนน ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาคว้าตั๋ว เอซีแอล มาไว้ในมือชั่วคราว ส่วนจะยาวไปจนจบฤดูกาลไหม นั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องพิสูจน์ให้เห็นเอง
ท้ายตาราง ลำปาง เอฟซี และ หนองบัว พิชญ เอฟซี ตกชั้นแล้วอย่างเป็นทางการ ต้องไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฤดูกาลหน้าที่ไทยลีก 2
ส่วนอีกทีม ยังคงเป็นการดิ้นหนีตาย และน่าจะยังคงต้องติดตามกันอีก 1 – 3 นัดสุดท้ายของฤดูกาล ถ้าว่ากัน ณ ตอนนี้ ลำพูน วอริเออร์ อยู่ในพื้นที่สีแดง แต่ก็อยู่ห่างจากโซนปลอดภัยที่มี 3 ทีมแออัดกันอยู่ในนี้แค่ 2 คะแนนเท่านั้น
นัดล่าสุดมีดราม่าเกิดขึ้นในนัดหนีตายที่ขอนแก่น ลำพูน วอริเออร์ บุกไปแพ้ 0 – 1 และเหลือผู้เล่น 9 คน จาก 1 ใบแดงโดยตรง และอีก 1 ใบเหลือง-แดง ดีที่จุดโทษอีก 1 ลูกนั้น สหวิช ขำเปี่ยม ปฏิเสธไปทั้ง 2 จังหวะ
ดราม่าที่ว่านั้นก็น่าจะเป็นปัญหาจากการที่ ลำพูน วอริเออร์ มองว่า ผู้ตัดสินในสนามและในห้อง VAR ปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นธรรม
แน่นอนว่าสามารถมองได้ เพราะจากการทำหน้าที่มันทำให้เกิดผู้ได้ประโยชน์กับผู้เสียประโยชน์ ที่ทั้งคู่ก็จะมองต่างมุมกันอยู่แล้ว
ทันทีที่เกมนี้จบลง ลำพูน วอริเออร์ ทำหนังสือประท้วงการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินทั้งคู่ที่เป็นระดับฟีฟ่าอีลิต มือ 1 – 2 ของประเทศ
ฝ่ายพัฒนาผู้ตัดสิน ก็ออกชี้แจงเหตุการณ์ และการทำหน้าที่ ในการแข่งขันฟุตบอล รีโว่ ไทยลีก ฤดูกาล 2022/23 แมตช์เดย์ที่ 27 หลังจากได้รับรายงานจากผู้ที่เกี่ยวข้อง
แน่นอนว่าเกือบทั้งหมดที่ผ่านมา เห็นพ้องกับผู้ตัดสินเกือบทั้งหมด นัดนี้ก็เช่นเดียวกัน
เหตุการณ์ที่ 1 ใบแดงโดยตรง ก็ดูแบบเป็นธรรม ตามกติกานั้นค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นการเล่นแรง มีการเหยียบเข้าที่ข้อเท้า มีผู้ตัดสินในสนามได้มาดูซ้ำอีกครั้ง การเปลี่ยนใบเหลืองไปเป็นใบแดง จึงไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย
แต่สิ่งที่แฟนบอล ลำพูน วอริเออร์ ติดใจมากกว่าจังหวะนี้ก็คือ เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้น ผู้เล่น ขอนแก่น ยูไนเต็ด เข้าเหยียบข้อเท้า เจฟเฟร่น ซัวเรส ไม่กี่นาที หลังจากใบแดงนั้น
กลับไม่มีแม้แต่เสียงพ่นลมจากนกหวีดของผู้ตัดสิน ไม่มีแม้กระทั้งการรีวิวจากห้อง VAR มันน่าเคลือบแคลงมากกว่าการชี้แจงในเหตุการณ์ที่ 1 อีกนะครับ
เหตุการณ์ที่ 2 จังหวะจุดโทษ และนี่คือคำอธิบายจากการตรวจสอบโดยผู้ช่วยผู้ตัดสิน VAR
“เนื่องจากผู้เล่นฝ่ายรุกได้เล่นบอลได้ก่อน ก่อนที่ผู้เล่นฝ่ายรับจะพยายามเตะไปที่ลูกบอล ซึ่งเท้าของผู้เล่นฝ่ายรับมีการสัมผัสลูกบอลเพียงเล็กน้อย แต่ได้มีการเคลื่อนที่ขาต่อไปปะทะบริเวณต้นขาและลำตัวของผู้เล่นฝ่ายรุกด้วยความรุนแรงระดับปานกลาง (Medium Intensity) ทั้งนี้ เท้าทั้งสองข้างของผู้เล่นฝ่ายรุกได้ยืนอยู่บนเส้นเขตโทษของฝ่ายตรงข้าม ทำให้สามารถพิจารณาได้ว่าจุดที่มีการปะทะเกิดขึ้นในเขตโทษ”
หะแรกที่ได้อ่าน ผมก็พยายามไปเทียบกับภาพเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น ทำให้งุนงงกับการประดิษฐ์คำให้มันสอดคล้องกับการใช้ดุลยพินิจของผู้ตัดสินทั้งในสนามและห้อง VAR
ดูยังไงก็ยังหาเหตุสนับสนุนด้วยใจเป็นธรรมไม่ได้เลยจริง ๆ ถ้าจะใช้เหตุผลลักษณะอย่างนี้ผมว่ามันจะเกิดกรณีพิพาทกันอีกเยอะ
ผู้เล่นฝ่ายรุกแตะโดนบอลก่อน แต่เบามาก จนลูกไปบอลได้เคลื่อนที่หนีผู้เล่นฝ่ายรับที่เข้ามาสกัดที่บอลได้ แถมความรุนแรงของการสกัดทำให้ลูกบอลเปลี่ยนทิศทางจากที่ฝ่ายรุกเดิมสัมผัสบอลไปไกลอีกด้วย
แสดงให้เห็นว่าลูกนี้มีการสกัดจากฝ่ายรับที่ลูกบอล จนฝ่ายรุกไม่สามารถเล่นต่อได้ ส่วนทิศทางของเท้าเมื่อสกัดลูกบอลแล้ว ยังไม่สามารถดึงกลับมาได้เพราะเป็นระยะประชิด ทำให้ผู้เล่นฝ่ายรุกที่เคลื่อนที่มาด้วยแรงเฉื่อยยังคงทิศทางการเคลื่อนที่ที่แตกต่างจากลูกบอล เลยทำให้เท้าของผู้เล่นฝ่ายรับเข้าไปปะทะกับผู้เล่นฝ่ายรุกอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
ก็ได้แต่ปลงครับกับการใช้ดุลยพินิจและการพยายามสร้างเหตุผลประกอบการใช้ดุลยพินิจของผู้ตัดสินในครั้งนี้
ปกติการคัดเลือกผู้ตัดสิน จะเป็นการเลือกแบบสุ่ม ซึ่งบังเอิญเหลือเกินว่า ระดับมือ 1 – 2 ของประเทศ สุ่มมาเจอกันที่นี่
ครับ แฟร์
เครดิตภาพ FB AIS PLAY Sports
by TTDad