ฮิมต๋ายฮิมยัง : สิ่งที่เปลี่ยนแปลงแล้วย่อมดีเสมอ

ช่วงนี้ในเมืองไทย เดือนกันยายน ก็เข้าสู่ฤดูฝนตกหนัก ตกชุก น้ำเยอะจะว่าที่สุดของปีเลยก็ว่าได้ ทั้งพายุ น้ำป่า น้ำท่วม ก็จะมีให้เห็นกันในหลายพื้นที่ ถือเป็นช่วงที่เราจะได้เห็นข่าวคราวเรื่อง “น้ำ” ในทุก ๆ ปี

ฟุตบอลลีกไทย ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็จะถือว่าเป็นช่วงสุดท้ายของลีกล่าง ที่จำเป็นจะต้องจบลีก เพื่อเข้าสู่ช่วงของการหาทีมเลื่อนชั้น แต่อย่างที่เราทราบกันว่า เมื่อมีการแพร่ระบาดของโรค ตารางการแข่งขันฟุตบอลลีกไทย ก็ถูกเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม

สัปดาห์ที่ผ่านมา เพิ่งจะเป็นสัปดาห์ที่ 3 ของการแข่งขัน เรียกว่าช่วงออกสตาร์ทของฤดูกาล แต่เหมือนมีเรื่องที่จะต้องพูดถึงอยู่นอกจากเรื่องของการตัดสินที่ว่าไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

มาเริ่มต้นที่ผลการแข่งขันกันก่อน ไทยลีก 1 หรือ “ไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก : Hilux Revo Thai League” แข่งกันไปเป็นนัดที่ 3  นัด ก็มีการเปลี่ยนทีมนำบนตาราง เมื่อสมุทรปราการ ซิตี้ และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต่างก็เก็บชัยชนะได้ทั้งคู่ มี 7 คะแนนเท่ากัน แต่ผลต่างประตูได้เสีย ปราสาทสายฟ้าดีกว่า

ส่วนที่ตามมาก็ได้แก่ ชลบุรี เอฟซี การท่าเรือ เอฟซี และ สิงห์              เชียงราย ยูไนเต็ด ในอันดับ 3 – 5 ท้ายตาราง มี เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ท้ายสุดถัดมาเป็น โปลิศ เทโรเอฟซี ที่มี 1 คะแนนเท่ากัน ด้ยผลเสมอ 1 นัด ส่วน  นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี ได้ชัยชนะนักแรกไปแล้ว เลยกระโดดไปที่อันดับ 11

ไทยลีก 2 หรือ “เอ็ม 150 แชมเปี้ยนชิพ  : M-150 Championship” แพร่ ยูไนเต็ด ที่มีผลงานดีอย่างต่อเนื่อง นัดล่าสุดสามารถเอาชนะ อยุธยา ยูไนเต็ด มาได้ทำให้ได้ครองจ่าฝูงไปหลังจบนัดที่ 4 ส่วนจ่าฝูงเมื่อสัปดาห์ก่อน ตราด เอฟซี เก็บได้แค่ 1 แต้ม หยุดสถิติชนะรวดไว้ที่ 3 นัด หล่นมาอยู่อันดับ 2 ด้วยลูกได้เสียที่เป็นรอง

ส่วนท้ายตาราง ก็ยังคงเป็น สโมสรฟุตบอลราชนาวี ที่ยังหาชัยชนะไม่เจอหลังผ่านนัดที่ 4 มี ในขณะที่ ขอนแก่น เอฟซี ได้คะแนนแรกของฤดูกาลเป็นที่เรียบร้อย หลังเปิดบ้านตามตีเสมอ เชียงใหม่ เอฟซี แต่ก็ยังอยู่ในอันดับรองสุดท้ายเช่นเดิม

ไทยลีก 3 หรือ “มังกรฟ้าลีก” สัปดาห์ก่อนมีการมีการแข่งขันกันอยู่ในตอนนี้ 3 โซน ส่วนสัปดาห์นี้ไม่มีเกมการแข่งขัน แต่มีโซนที่เริ่มนัดแรกเพิ่มมา 2 โซน

โซนภาคตะวันออก เกมแรกมี พัทยา ดอลฟินส์ ยูไนเต็ด สายมิตรกบินทร์ ยูไนเต็ด บ้านค่าย ยูไนเต็ด กองเรือยุทธการ อัศวิน และ เกาะขวาง ยูไนเต็ด ที่เก็บชัยชนะนัดแรกได้

ในโซนภาคตะวันตก สิงห์ระฆังทอง กาญจนบุรี เอฟซี สระบุรี ยูไนเต็ด และ หัวหิน ซิตี้ เป็น 3 ทีมที่เก็บ 3 แต้มไปได้ในนัดแรก

นี่ก็เป็นสถานการณ์ในตารางคะแนนของฟุตบอลลีกในประเทศในช่วงออกสตาร์ทของฤดูกาล 2021/22 ในบางสนามต้องยอมรับว่าผลการแข่งขันอาจจะไม่ตรงอย่างที่ได้คาดการณ์กัน ส่วนนึงก็มาจากเรื่องของการจัดตัวผู้เล่น รวมถึงสภาพสนามที่แตกต่างกันระหว่างการซ้อมและการแข่งขันจริง

อย่างที่ได้เรียนไปแล้วว่า ช่วงนี้บ้านเราฝนตกชุก ตกหนัก น้ำมาก สนามบางแห่งก็แฉะ ลื่น ทำให้การเล่นไม่ได้เป็นเหมือนการซ้อม จะว่าไปแล้วทั้งคู่เล่นสนามเดียวกัน บางทีมจะเอาไปเป็นข้ออ้างได้ไหมว่าสนามไม่ดี ทำให้ผลงานออกมาไม่ดี

แน่นอนว่าแล้วแต่คนฟังว่า จะเชื่อในเหตุผลที่เอามาอ้างนี้ไหม ส่วนตัวผมเองก็ยังมองว่า “ฟังได้” เพราะแท็กติคการเล่นของแต่ละทีมนั้นอาจจะแตกต่างกัน เช่น ทีมที่มีนักเตะเกรดดี ๆ มีรูปแบบการเล่นเป็นบอลเท้าสู่เท้า เวลามาเจอสนามที่ แฉะ มีฝนตก มีน้ำขัง การเล่นตามแท็กติคก็คงไม่ได้

แต่ถ้าทีมนั้นมีสไตล์อังกฤษขนานแท้ ประเภทบอลโด่งจากหลังไปหน้า ใช้ความเร็วกองหน้าเป็นหลัก ที่ตามภาษาฟุตบอลเรียกว่า “ไดเร็กอินเจ็คชั่น” เอ้ย! “ไดเร็กฟุตบอล” ก็คงเข้าทาง และอาจสร้างผลการแข่งขันที่แตกต่างได้

เช่นกัน ในทีมที่อุดมไปด้วยนักเตะในระดับไทยลีก ความคุ้นชินกับเกมการแข่งขันในลีกสูงสุดที่เต็มไปด้วยเทคนิคของผู้เล่น ในยามที่ต้องมาเผชิญกับการเล่นในระดับลีกที่ต่ำกว่า ที่มีสไตล์การเล่นแบบถึงลูกถึงคน บางที่ก็พาลให้เล่นไม่ออกได้เหมือนกัน

ก็นำมาใช้เป็น “เหตุผล” ที่ทำให้ผลงานของทีมออกมาไม่สู้ดีนัก แต่ถ้าในระดับของเจ้าของทีม เมื่อได้ยินได้ฟังเหตุผลแบบนี้ เลือกที่จะเชื่อหรือไม่ อันนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าของทีมแล้วหล่ะครับ

ในช่วง 3 – 4 นัดแรกของฤดูกาล ก็เริ่มมีข่าวเรื่อง “เก้าอี้” ที่เริ่มมีอุณหภูมิสูงมากขึ้น หลังจากผลงานของทีมไม่เป็นไปตาม “เป้า” ที่วางไว้ รวมถึงเม็ดเงินที่ถูกหว่านลงไปในฤดูกาลนี้

ก็อาจจะเป็นเพราะ “เหตุผล” ที่อาจจะ “ฟังไม่ขึ้น” ในผลงานก็เป็นได้ ก็คงจะได้เห็นความชัดเจนว่า “ข่าว” ที่แว่ว ๆ มานั้น สุดท้ายจะมี “มูล” หรือเป็นแค่ “ข่าวลือ” ที่มักมีมาตลอดทุกฤดูกาล

ตบท้ายกันที่ประเด็นในสัปดาห์ก่อนเรื่อง ดารตัดสิน และ VAR ที่มีหลายเสียงสะท้อนไปถึงสมาคม มีการประชุมชี้แจงกันไปแล้ว ส่วนจะเคลียร์หรือไม่ก็สุดแท้จะสรุปได้

แต่สิ่งที่ได้เห็นเมื่อเกมที่ผ่านมาในจังหวะที่ หนองบัว พิชญ เอฟซี เสียจุดโทษ ให้กับ ชลบุรี เอฟซี จากการดู VAR ของผู้ตัดสิน

อย่างที่ได้เรียนให้ทราบกันไปแล้วว่า ในห้องที่เรียกว่า Video Operation Room (VOR) นั้นจะมีผู้ตัดสินที่เรียกว่า Asst. VAR อยู่ 2 คน คอยดูภาพเหตุการณ์ที่อาจมีปัญหาต้องใช้ VAR ในการช่วยตัดสิน

และในจังหวะนี้นี่เองที่เกิดการทำฟาวล์ในเขตโทษ ซึ่งเข้าข้อกำหนด 4 เรื่องของการใช้ VAR เมื่อจังหวะแรกผู้ตัดสินไม่ได้เป่าให้เป็นลูกฟาวล์ กระบวนการ VAR ก็จึงเริ่มต้นโดยอัตโนมัติ

หลังจากการรีวิวด้วยภาพเคลื่อนไหว ห้อง VOR ก็ส่งสัญญาณไปยังผู้ตัดสินในสนามว่า การเป่าไม่ให้เป็นลูกจุดโทษนั้นเป็น “ความผิดพลาดที่ชัดเจนและเห็นได้ชัด” หรือ “เหตุการณ์ที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง” ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งก็คือต้องมีการทบทวนให้จุดโทษหรือไม่แก่ฝ่ายที่ถูกทำฟาวล์

และหลังจากที่ผู้ตัดสินกลางสนาม ได้รับสัญญาณและวิ่งมาดูภาพเคลื่อนไหวด้วยตัวเองที่ข้างสนาม ก็กลับคำตัดสินของตัวเอง และให้ลูกจุดโทษแก่ ชลบุรี เอฟซี

การใช้ VAR ในครั้งนี้ รวมถึง “ดุลยพินิจ” สุดท้ายที่ถูกต้อง ของทีมงานและผู้ตัดสิน ถือเป็นเรื่องที่ “แฟร์” และน่าจะตอบโจทย์การใช้ VAR แบบไม่เสียเปล่า ในขณะที่หลายเสียงก็พูดถึงว่าอาจเป็นเพราะเสียง “โค้ชเตี้ย” ที่กระทุ้งในประเด็นนี้เมื่อสัปดาห์ก่อนหรือไม่

ก็หวังว่าในอนาคตนี่จะเป็นบรรทัดฐานให้ทีมงานตัดสินในทุกเกมได้ใช้ และความถูกต้องในผลการแข่งขันจะเกิดขึ้น และเรื่องนี้อาจจะเป็น “เสน่ห์” ฟุตบอลแบบใหม่ในอนาคตก็เป็นได้ครับ

ฮิมต๋าย ฮิมยัง by TTDad

ร่วมสนับสนุนโดย
#อีซูซุศาลาเชียงใหม่ #ChiangmaiFreshmilk #zetajersey #ดาวเรืองตราบ้าน #ทรายป่าห้า
.
#ไทยลีก #ไทยลีก2 #ไทยลีก3 #thaileague #ฟุตบอล #ข่าวฟุตบอล #ภาคเหนือ #ข่าวบอล #ข่าวบอลไทย #ข่าวฟุตบอลไทย #ป้อก๊าแข้ง #ไทยลีก1 #ฮิมสนาม #ฮิมสนามตั้งวงเล่า #บอลไทย #football #เล่าสู่กันฟัง #มังกรฟ้าลีก #Bluedragonleague  #North  #m150championship  #thaileague2 #RevoThaiLeague

Warut