กลุ่มนี้ ยูเออี เข้ารอบต่อไปด้วยการเป็นแชมป์กลุ่ม ส่วน เวียดนาม ทีมอันดับ 2 เข้าไปเล่นในรอบต่อไปในฐานะทีมอันดับที่ 2 ที่ดีที่สุด รวมกับอีก 10 ทีมเป็น 12 ทีมที่มีโอกาสคว้าโควตาไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่การ์ตา
.
เรียกได้ว่าเป็นการปิดฉากรอบคัดเลือกรอบสองที่เจ็บปวดสำหรับ “ช้างศึก” อันดับที่ 4 แต่กระนั้นก็ยังดีพอที่จะไปเล่น “เอเชี่ยนคัพ” ในรอบคัดเลือก อย่างน้อยก็ยังไม่ถึงขนาดต้องไปเพลย์ออฟ ยังมีข่าวดีในช่วงที่ “มืดมน” ของบอลทีมชาติไทย
แต่ก็นั่นแหล่ะครับ ป่วยการที่จะต้องมานั่งฟูมฟาย เสียใจ เพราะอะไร ๆ ก็ย้อนกลับมาไม่ได้ จำเป็นต้องเดินหน้าอย่างเดียว เมื่อล้มได้ก็ลุกได้ ใช่ว่าสถานการณ์แบบนี้เราไม่เคยเจอมาก่อน และทุกครั้งเราก็กลับมาได้
.
ก็ต้องเป็นหน้าที่หลักของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ที่นำโดย พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ซึ่งหลังจากการแข่งขันนัดสุดท้าย ก็ได้เริ่มการแก้ไขด้วยการ “โพสต์” ในเพจ Fair ไว้ดังนี้
“ในฐานะนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณนักกีฬาฟุตบอล ทีมงานผู้ฝึกสอน สต๊าฟฟ์โค้ช ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องที่ทุ่มเท เสียสละ ในการไปทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถในฐานะตัวแทนของคนไทย
ขอบคุณสโมสรต้นสังกัดนักกีฬา ที่ให้การสนับสนุนปล่อยตัวนักกีฬาเข้ามาเก็บตัวฝึกซ้อมและลงแข่งขันภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากและไม่ปกติเช่นนี้
ขอบคุณแฟนบอลชาวไทยที่ติดตามเชียร์ และให้กำลังใจนักกีฬาฟุตบอลทีมชาติไทยมาโดยตลอด ผมในฐานะนายกสมาคมฯ ต้องขอโทษแฟนฟุตบอลไทยทุกคน ที่ไม่สามารถสร้างความสุขให้แฟนบอลไทยได้
เมื่อผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบสอง กลุ่ม จี ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้น สมาคมฯ ต้องกลับมาทบทวน ปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาสิ่งเหล่านั้นให้ดีกว่าเดิม เพื่อให้ฟุตบอลทีมชาติไทยพัฒนาและเดินหน้าต่อไปสู่การแข่งขันรายการต่อไปที่จะเกิดขึ้น ด้วยพลังที่พร้อมจะสร้างความสุขให้กับแฟนบอลชาวไทยอีกครั้ง”
จะเรียกว่า “โพสต์” ตามฟอร์มก็ว่าได้ เพราะคงสรรหาอะไรมากล่าวตอนนี้ก็คงไม่ได้ใจแฟนบอลชาวไทย ผลงานเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สิ่งที่นายกสมาคมฯ“โพสต์” นั้น ของจริงจะเป็นเช่นไร
.
อย่างที่เคยได้เขียนไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ผลงานส่วนหนึ่งที่ปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้ก็คงเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน อากิระ นิชิโนะ ที่มีเสียงมากมายที่ตั้งคำถามถึง “ฝีมือ” ในการทำทีมของกุนซือชาวญี่ปุ่น
ลุงโน๊ะเอง หลังจบการแข่งขันที่พ่ายแพ้ให้กับ มาเลเซีย ก็ออกมายอมรับถึงความผิดพลาดของตนเองว่า “การฝึกซ้อมและเกมการแข่งขันนักเตะทุกคนสามารถทำได้อย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่ความผิดพลาดอยู่ตรงที่การเลือกตัวผู้เล่น การโค้ชชิ่ง (Coaching) และการจัดการตัวผู้เล่น”
.
และยังท้าวความไปที่ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นจากการเขาเองไม่สามารถเลือกนักเตะ 23 คน ก่อนจะบินมาทำการแข่งขัน ด้วยปัญหาสภาพความพร้อมของนักเตะ
“อย่างแรกผมขอโทษนักเตะที่ไม่ได้รับโอกาสลงสนาม อยากให้เข้าใจว่าการเก็บตัวที่ประเทศไทย ผมพยายามที่จะคัดเลือกและดูสภาพความพร้อมของทุกคน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ จึงเลือกทั้งหมดมาที่ยูเออี สุดท้ายผมขอขอบคุณสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่อนุญาตให้นำนักเตะกลุ่มใหญ่มาที่นี่”
จากคำกล่าวของลุงโน๊ะ ก็มี 2 ประเด็น อย่างแรกคือแกก็โทษตัวเอง ที่เลือกนักเตะ จัดตัวผู้เล่นลงสนาม ที่เราเห็นก็คือ 3 นัดที่ ยูเออี นั้นประหนึ่งเป็นการลองทีม แต่ถ้าย้อนกลับไปดูเหตุที่ต้องทำอย่างนั้นก็ด้วยเรื่องสภาพความฟิตของนักเตะ นั่นก็คือประเด็นที่ 2 ซึ่งความรับผิดชอบในจัดตัวผู้เล่นก็เป็นของลุงโนะ และสุดท้ายแกเองก็ออกมายอบรับถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
กระแสเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนตัวลุงโนะเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากประเด็นค่าจ้างแสนแพง ความสามารถในการจัดการทีม การแก้เกม โดยเฉพาะประเด็นแรกที่ว่ากันถึงความคุ้มค่าในระดับ 30 ล้านบาทต่อเดือน คุ้มหรือไม่
ส่วนประเด็นการแก้เกม ก็มีการขุดเอาผลงานของลุงโนะ โดยสถิตินับตั้งแต่แกเข้ามาคุมทีม “ทีมชาติไทย” (รวมทีมชุดใหญ่และ ยู-23) ว่าถูกคู่แข่งขึ้นนำก่อนรวมทั้งสิ้น 6 ครั้ง และจบเกมด้วยความพ่ายแพ้ทั้ง 6 ครั้ง หมายความว่าแกไม่อาจพลิกสถานการณ์จากที่ถูกขึ้นนำได้เลย ขณะที่ “ทีมชาติไทย”นำคู่แข่งก่อน 13 เกม แต่จบเกมด้วยชัยชนะแค่ 6 ครั้ง โดนตีเสมอ 5 ครั้ง และกลับมาแพ้ 2 ครั้ง หมายความว่ามากกว่าครึ่งที่แกไม่อาจพาทีมรักษาความได้เปรียบจากการขึ้นนำคู่ต่อสู้ได้
เรื่องนี้เป็นอีก 1 จุดอ่อนที่มีการมองว่าแก “แก้เกม” ไม่เก่ง แกรู้จักนักเตะมากพอหรือไม่ ทั้งการจัดตัวและส่งตัวผู้เล่นลงไปเปลี่ยนเพื่อพลิกเกม
.
คนที่ออกมาวิจารณ์ก็เป็นอดีตโค้ชทีมชาติ ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ต่างก็เคลือบแคลงสงสัยในความสามารถ และอีกประเด็นคือพื้นฐานความเข้าใจของโค้ชต่างชาติ กับนักเตะสายเลือดไทย ที่ยังอาจจะมีจุดที่ยังไม่ลงตัว
แต่ก็อย่าลืมว่าในอดีต เรามีโค้ชต่างชาติมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น คาร์ลอส โรเบอร์โต คาร์วัลโญ ซิกกี เฮ็ลท์ วินฟรีท เชเฟอร์ หรือที่โดดเด่นมากสุดในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมาอย่าง ปีเตอร์ วิธ
ความเข้ากันได้ระหว่างโค้ชต่างชาติกับนักเตะไทย ก็ยังมีส่วนที่ลงตัวอยู่บ้าง ใช่ว่าจะเข้ากันไม่ได้เลย ส่วนในรายลุงโนะ การออกมาทำงานนอกประเทศเป็นครั้งแรก มีแววว่าอาจจะไม่รุ่ง ก็อยู่ที่ว่าแนวทางของสมาคมจะพิจารณาลุงโนะไปในแนวทางใด
.
เสร็จศึกรอบนี้ นักเตะทีมชาติไทย ก็เดินทางกลับมาถึงเมืองไทยแล้วในวันที่ 17 มิถุนายน ก็จะได้แยกย้ายไปพักผ่อนช่วงสั้น ๆ เพราะในอีกเดือนครึ่ง ฟุตบอลลีกในประเทศก็จะเริ่มต้นฤดูกาลใหม่กันแล้ว
สงครามในสนามจบลง ส่วนมิตรภาพยังคงเบ่งบาน “นอร์ชาห์รุล อิดลาน ตาลาฮา” กองหน้าทีมชาติมาเลเซีย อดีตดาวเตะบีจี ปทุม ยูไนเต็ด โพสต์ให้กำลังใจแฟนบอลไทยและบีจี ปทุมฯ ในช่วงเวลาที่บอลไทยมีแต่ความหดหู่ ผ่าน IG ส่วนตัวของเค้า
“ถึงครอบครัวบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ผมคิดถึงพวกคุณมากๆ “ผู้คนส่วนมากต้องการจะขึ้นรถลิมูซีนไปกับคุณ แต่สิ่งที่คุณต้องการ คือ ใครซักคนที่พร้อมจะเดินทางไปกับคุณในวันที่รถเสีย”เข้มแข็งไว้ ลุกขึ้นสู้ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
ส่วนนักเตะไทยที่ไม่ได้มาร่วมศึกครั้งนี้ด้วยปัญหาอาการบาดเจ็บ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ กองกลางคนสำคัญของทีมชาติไทย จากสโมสรคอนซาโดเล ซัปโปโร ในศึกเจลีก ญี่ปุ่น ได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นหลังจบเกมว่า “ผมเชื่อว่า ช้างศึก จะกลับมา”
สิ่งเหล่านี้คงเป็นสิ่งที่ “ช้างศึก” ต้องการมากที่สุด ก็คือกำลังใจ และพลังหนุนหลังที่แฟนบอลชาวไทยยังมีให้กับ “ฟุตบอลทีมชาติ” ของเรา ส่วนการจัดการก็ต้องเป็นหน้าที่ของสมาคมฟุตบอลฯ เราก็ห่วง แต่เป็นความห่วงแบบรักษาระยะห่าง
#ฮิมต๋ายฮิมยาง by TTDad
เครดิตภาพ : https://www.siamsport.co.th/
#ฮิมสนาม #ฮิมสนามตั้งวงเล่า #อีซูซุศาลาเชียงใหม่ #ChiangmaiFreshmilk #ดาวเรืองตราบ้าน #ทรายป่าห้า #ไทยลีก #ไทยลีก2 #ไทยลีก3 #thaileague #ฟุตบอล #ข่าวฟุตบอล #ภาคเหนือ #ข่าวบอล #ข่าวบอลไทย #ข่าวฟุตบอลไทย #ป้อก๊าแข้ง #ทีมชาติไทย #ช้างศึก