ฟุตบอลชิงแชมป์รายการ AFF Suzuki Cup 2020 รอบชิงชนะเลิศนัดแรกก็ผ่านไปแล้วเป็นทีมชาติไทย ที่กุมความได้เปรียบจากการเอาชนะได้ก่อน 4 – 0
ย้อนไปที่ผลงานของทีมชาติไทย ในรายการชิงแชมป์อาเซียน AFF Suzuki Cup 2020 ที่ประเทศสิงคโปร์ นัดที่ 2 ของรอบรองชนะเลิศ ภายใต้การกุมบังเหียนโดย มาโน่ โพลกิ้ง ที่สามารถรักษาสกอร์ที่นำห่าง 2 ลูกจากผลการแข่งขันนัดก่อนเอาไว้ได้
เกมในนัดนี้ก็ยังคงเป็นเกมในรูปแบบเดิม ๆ คือการเข้าบอลที่หนักหน่วง และนอกเกมบ่อยครั้งของนักเตะเวียดนาม ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของทีมนี้ไปเสียแล้ว คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือผลิตผลของการคุมทีมของ ปาร์ค ฮังซอ
เวียดนาม เองไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องเปิดเกมรุกเข้าใส่ แต่ก็ยังเจาะไม่เข้า มีจังหวะจวนเจียนจะได้ แต่ก็ยังไม่คมพอที่จะเปลี่ยนเป็นประตูได้ รวมถึงการวางหมากของ มาโน่ ที่แสดงให้เห็นถึง “กึ๋น” ในการจัดตัว วางหมาก รับมือ อดีตเบอร์หนึ่งอาเซียน โดยเฉพาะครึ่งหลังการเปลี่ยนไปเล่นหลัง 3 ทำให้ลูกโด่งที่เวียดนามประเคนเข้ามา มิอาจทำอันตรายปราการหลังทั้ง 3 ของเราได้เลย
จบเกมในนัดนี้นักเตะไทยหลายคนก็มีอาการบอบช้ำแต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะต้องเข้าโรงหมอ จะมีก็แต่ ฉัตรชัย บุตรพรม ที่โชคร้าย ได้รับบาดเจ็บจากการออกมาสกัดบอลนอกกรอบเขตโทษ แล้วมีจังหวะที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ จนสุดท้ายต้องถูกเปลี่ยนตัวออก
ผลการตรวจหลังจากนั้นก็มีการแถลงออกมาว่า อาการบาดเจ็บเป็นเอ็นไขว้หน้าเข่าซ้ายขาด จากการสแกนด้วย MRI แน่นอนว่าอาการแบบนี้ต้องได้รับการผ่าตัด และจะต้องใช้เวลารวมพักฟื้นอีกร่วม 6 – 8 เดือน
สุดท้าย “ช้างศึก” ได้ตบเท้าเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปตามความคาดหมาย โดยคู่ชิงในครั้งนี้เป็น อินโดนีเซีย ที่กว่าจะบดเอาชนะเจ้าบ้านที่มีผู้เล่นเหลือแค่ 8 คนก็ต้องใช้เวลาถึง 120 นาที
เกมนี้เจ้าภาพถูก อินโดนีเซีย ขึ้นนำก่อน มิหนำซ้ำช่วงก่อนหมดเวลาครึ่งแรก ก็ต้องมาเสียใบเหลือง-แดง แบบไม่น่าเสียจากการที่แสดงอาการไม่พอใจคำตัดสินจากผู้ตัดสิน ทำให้แต่เดิมที่โดนใบเหลืองไปแล้ว ก็มาถูกใบเหลืองใบที่ 2 เป็นใบแดง ไล่ออกจากสนามไป
แต่ในจังหวะฟรีคิกนี้เอง เจ้าภาพก็ได้ประตูตีเสมอ ก่อนที่ในครึ่งหลังจะมีมาเสียผู้เล่นไปอีก 1 คนแต่ สิ่งที่ไม่คาดคิดว่า 9 คนของเจ้าภาพจะได้ประตูขึ้นนำ 2 – 1 ก่อนที่จะถูกตีเสมอในที่สุด
จังหวะของเกมเข้าทางเจ้าภาพอีกครั้งเมื่อจุดโทษในช่วงท้ายเกมทำท่าว่าจะส่งพวกเขาเข้าสู่รอบชิงได้ แต่ก็พลาดไป ล่วงเลยมาถึงในช่วงต่อเวลา คนที่น้อยกว่า 2 คนจึงไม่อาจต้านทานได้ หนำซ้ำผู้รักษาประตูก็ยังมาโดนใบแดงไปอีกราย ปิดฉากการแข่งขันของเจ้าบ้านที่รอบรองชนะเลิศเท่านั้น
คู่ชิงชนะเลิศนัดแรก ทีมชาติไทย พบกับ อินโดนีเซีย สิ่งที่แฟนบอลชาวไทยไม่คาดคิดคือการจัดตัวผู้เล่นของ มาโน่ ที่เรียกว่าเป็นการจัดแบบผสม ระหว่างนักเตะแกนหลัก และนักเตะที่มีความสด นัดนี้ “โก๋อุ้ม” ติดโทษแบนจากการสะสมใบเหลือง แต่ถึงจะไม่ติดโทษแบน นัดนี้เขาก็อาจจะได้พักที่ข้างสนามก่อน
รูปแบบการเล่นแบบ 4-1-2-1-2 (4-2-3-1) ถ้าวิเคราะห์ดี ๆ ก็ไม่ได้ต่างจาก 4-4-2 Diamond เน้นไปที่การวางเกมในแดนกลางค่อนไปทางด้านหน้า ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่า มาโน่ มองความพร้อมของคู่แข่งที่เล่นนัดก่อน 120 นาที น่าจะมีความล้าหลงเหลืออยู่บ้าง
และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ การได้แนวรุกที่มีทั้ง บดินทร์ ศุภโชค ชนาธิป ทำให้แนวรับของ อินโดนีเซีย ไม่อาจต้านทานความเร็วของสามประสานในเกมรุกได้ หนำซ้ำ วิงแบ็คอย่าง ฟิลิป และ ทริสตอง โด ยังขึ้นมาสนับสนุนเกมรุกอีก ทำให้ผลงานในการเอาชนะได้ถึง 4 – 0 นั้นจะว่าไปคงไม่มีใครเชื่อว่าสกอร์จะออกมาขาดขนาดนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือการมองเห็นจุดด้อยของคู่ต่อสู้ แล้ววางหมากการเล่นของเราให้สามารถทำลายไปที่จุดด้อยนั้น ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ความเร็วในการเข้าทำ ถ้ามองไปที่แต่ละประตูที่เราได้นั้น เรียกได้ว่า “มีคลาส” การสอดประสานเหมือนเล่นด้วยกันมานาน
แน่นอนว่ามองไปที่สกอร์นัดแรกแล้วจะสลักชื่อทีมชาติไทยเป็นแชมป์ลงบนถ้วยรางวัลคงไม่เกินเลยไปนัก เพราะรูปแบบการเล่นที่แสดงออกมานั้น เป็นฟอร์มที่ “เหนือ” กว่าอย่างเห็นได้ชัด
การแก้เกมของ ชิน แทยัง ที่พยายามจะปรับมาสู้นั้นยังไม่เห็นผลชัดอะไรมากมาย ส่วนหนึ่งคือตัวเลือกของผู้เล่นที่เขามี รวมถึงสภาพของนักเตะตัวหลักที่กรำศึกมาอย่างต่อเนื่อง ผิดจากทีมชาติไทยที่ใช้การโรเตชั่นนักเตะ
โดยตอนจบของเกมคู่นี้จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 มค วันเปิดศักราชใหม่ของปี 2565 วันที่ทีมชาติไทยจะคว้าแชมป์ AFF SUZUKI CUP 2020 สมัยที่ 6 มาครอง (กล้าฟันธงแบบไม่กลัวหน้าแหก)
นักเตะทีมชาติไทยที่ร่วมเดินทางไปแช่งขันในครั้งนี้ ถือเป็นการแข่งขันที่ใช้นักเตะลงสนามเกือบทุกคน ล่าสุด “เจ้าตอง” กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ก็ได้โอกาสลงไปเฝ้าเสาในเกมนัดชิง โดยถูกส่งลงไปแทน ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ที่ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บแต่อย่างใด
อย่างที่เราทราบว่า ก่อนเกมการแข่งขัน กวินทร์ ได้รับข่าวร้ายเมื่อต้องสูญเสีย คุณพ่อประมวล ธรรมสัจจานันท์ จากโรคมะเร็ง ดังนั้นเกมนี้ จึงเป็นเกมที่เพื่อนร่วมทีมจะแสดงให้เห็นว่านัดนี้นอกจากพวกเขาจะเล่นเพื่อชาติแล้ว พวกเขายังต้องการเล่นเพื่อเพื่อนร่วมทีมที่ชื่อ “กวินทร์”
“หลังจากที่เจยิงประตูที่ 2 ให้กับทีมชาติไทย หลายคนคงสัยว่าทำไมเจถึงวิ่งไปหาและโผเข้ากอดพี่ตอง…วันนี้พี่ตอง กวินทร์ พึ่งจะสูญเสียคุณพ่ออันเป็นสุดที่รักไปครับ
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างนี้ พวกเรามาช่วยกันส่งกำลังใจให้กับพี่ตองพี่ชายที่เจรักและเคารพมากๆและครอบครัวให้ก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ในเร็ววันกันนะครับ”
นี่คือข้อความโพสต์ของ เฟซบุ็ก Chanathip Songkrasin ถึงเหตุผลของการวิ่งเข้าไปกอดเจ้าตองที่ข้างสนามหลังจากทำประตูได้
“การเปลี่ยนนักเตะมากมายในเกมนี้ วันนี้ต้องให้เครดิตนักเตะทุกคน ผมเป็นเกียรติที่ได้โค้ชพวกเขาทุกคน ส่วนการเปลี่ยนผู้รักษาประตู ผมอยากอธิบายว่าเราไม่ได้ไม่เคารพอินโดนีเซีย แต่เป็นเพราะว่าคุณพ่อของกวินทร์(น้ำตาไหล) เพิ่งเสียไปเมื่อช่วงบ่าย เราอยากตอบแทนความทุ่มเทของกวินทร์ ด้วยการสร้างช่วงเวลาดีๆให้เขาได้ลงสนามเพื่อพ่อของเขา”
และนี่ก็คือคำให้สัมภาษณ์ของ มาโน่ หลังเกม ถึงเหตุผลที่ส่ง กวินทร์ ลงไปในครึ่งหลัง ทำให้จนถึงนัดนี้ นักเตะที่เดินทางไปครั้งนี้ได้ลงเล่นเกือบทุกคนแล้ว ยกเว้น เจนภพ โพธิ์ขี คนเดียว ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่า นัดสุดท้ายเขาจะถูกส่งลงไปเล่นหรือไม่
นี่คืออีกโมเมนต์ที่ดีในการแข่งขันครั้งนี้ ความสวยงามในเกมฟุตบอลยังมีอยู่เสมอครับ
เครดิตภาพ : https://www.affsuzukicup.com/2020/
by TTDad
ร่วมสนับสนุนโดย
#อีซูซุศาลาเชียงใหม่ #ChiangmaiFreshmilk #zetajersey #ดาวเรืองตราบ้าน #ทรายป่าห้า
.
#ไทยลีก #ไทยลีก2 #ไทยลีก3 #thaileague #ฟุตบอล #ข่าวฟุตบอล #ภาคเหนือ #ข่าวบอล #ข่าวบอลไทย #ข่าวฟุตบอลไทย #ป้อก๊าแข้ง #ไทยลีก1 #ฮิมสนาม #ฮิมสนามตั้งวงเล่า #บอลไทย #football #เล่าสู่กันฟัง #มังกรฟ้าลีก #Bluedragonleague #North #m150championship #thaileague2 #RevoThaiLeague