ฮิมต๋าย ฮิมยัง

ฮิมต๋ายฮิมยัง :  ปราสาทสายฟ้าแม่เหล็กดูดทรัพย์

ทีแรกก็ดูเหมือนอากาศเย็น ๆ จะมาต่อเนื่องยาว ๆ ตั้งแต่ต้นเดือน แต่พอย่างเข้ากลางเดือน อากาศกลับอุ่นขึ้นมาเฉยเลย

มีโอกาสได้คุยกับนักท่องเที่ยวที่ขึ้นเหนือมาเพื่อรับอากาศเย็น หลายคนบอกเตรียมเสื้อกันหนาวมา แต่สงสัยจะไม่ได้ใช้เสียแล้ว

คงต้องอาทิตย์หน้าแหล่ะครับ กว่าที่ความคุ้นชินกับอากาศในฤดูหนาวเมืองไทยจะได้กลับมากันอีกครั้ง

ข่าวคราวล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ “ฮิมต๋ายฮิมยัง” สำหรับแฟนบอลคนไทยที่จะได้ชมเกมฟุตบอลโลกแบบสดครบ 64 นัด ที่สถานการณ์ตึงเครียดที่มีมาตั้งแต่สองสัปดาห์ก่อน ด้วยตัวเลขเม็ดเงินที่น่าตกใจ 64 นัดสด ๆ ต้องใช้เงิน 1.6 พันล้านบาท

กระแสหนึ่งคือ เงินแค่นี้จ่าย ๆ ไปเถอะ เมกกะ “จ่าย” อย่างอื่นยังจ่ายได้เลย ส่วนอีกด้านนึงคือ “ประโยชน์” จากการนำเงินก้อนนี้ไปทำอย่างอื่น น่าจะมีมากกว่าแค่ดูฟุตบอลโลก

ที่ต้องหยิบมาเป็นประเด็นในสัปดาห์นี้ก็เพราะ ความคุ้นเคยที่ทุกครั้งเราจะได้ดูถ่ายทอดสดกันเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ว่าจะแบบฟรี หรือต้องเสียเงินดู และเหตุการณ์ที่จวนเจียนจะได้ดูหรือไม่ ก็เหมือนเช่น ฟุตบอลยูโร ที่ผ่านมา

ฉุกละหุกไม่แพ้กัน เพราะสุดท้ายเรามีฮีโร่ “แอร์โร่ซอฟท์” มาช่วยจนทำให้แฟนบอลชาวไทยได้ดูถ่ายทอดสด พร้อมกับโฆษณาที่ทำเสร็จก่อนออกอากาศไม่กี่ชั่วโมง เป็นไวรัลเพลงในช่วงนั้นไปเลย

ส่วนครั้งนี้ นอกจากเงินที่อนุมัติโดย กสทช. 600 ล้าน รวมกับ เอกชนหลายเจ้า ก็ร่วม ๆ 1.1 พันล้าน ที่ว่าไปแล้วยังไม่ถึง 1.6 พันล้าน ตามที่ตัวแทนขายวางใบเสนอราคามา

กระบวนการหนึ่งเมื่อเงินไม่พอ ก็ต้องเจรจาขอลดราคา เพราะอย่าลืมว่า ราคาที่ขายให้กับแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน ตัวที่จะเป็นตัวกำหนดราคาก็คือ “รูปแบบ” และ “ช่องทาง” การแพร่ภาพ จนล่าสุดมาจบที่ 33 ล้านดอลล่าร์ แล้วแต่ว่าจะเอาตัวคูณที่เท่าไหร่ หากกลม ๆ เห็นว่า 1.4 พันล้าน เป็นอันจบกระบวนการเพื่อให้คนไทยได้ดูบอลโลก

ของเราอย่างที่เรียนไปแล้วว่า กฎ must have ที่บอกว่า “ฟุตบอลโลก” เป็นประเภทที่ถูกบังคับว่าต้องออกอากาศผ่านฟรีทีวี และแน่นอนว่า “ดาวเทียม” ที่มีพื้นที่ส่งสัญญาณครอบคลุมประเทศไทยที่มีฟรีทีวี ก็ต้องเอาไปออกอากาศด้วยตามกฎ must carry

จึงเป็นเหตุให้ “ช่องทาง” ของเราค่อนข้างเยอะ และ “รูปแบบ” ยังเสี่ยงจะมีสัญญาณหลุดรอดออกไปนอกประเทศอีกด้วย เพราะหากมีกล่องรับสัญญาณดาวเทียม ก็มีโอกาสที่จะรับสัญญาณได้นั่นแหล่ะครับ

แนวโน้มหลังจากนี้ กฎ must have ก็ต้องมาทบทวนกันใหม่ และอาจจะถอดรายการบางอย่างออกไป แน่นอนว่า “ค่าลิขสิทธิ์” ก็คงจะลดลง และเป็นแรงดึงดูดให้ เอกชน จะเข้ามาซื้อสิทธิ์ นำมาเผยแพร่ต่อ เพื่อสร้างผลกำไร อันมาจากการ “เก็บ” ค่าดูจากคนที่ต้องการดูจริง ๆ ครับ

ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องที่มีคนได้และมีคนเสีย แต่ใครจะเสีย เสียเท่าไหร่ ใครได้ และได้เท่าไหร่ เท่านั้นเอง

กลับมาในเรื่องที่ผมขึ้นเป็นหัวเรื่องของวันนี้ เกมการแข่งขันฟุตบอล รีโว่ ลีกคัพ ที่เพิ่งจบกันไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ในรอบ 32 ทีม สุดท้าย

ผลการแข่งขันก็อย่างที่ได้รับทราบกันไปแล้ว แต่จะขอท้าวความไปถึงเรื่องบอลลีกคัพกันก่อน

ลีกคัพ เป็นบอลถ้วย 1 ใน 2 รายการที่มีการแข่งขันกันอยู่ ซึ่งลีกคัพ จะมีความจำเพาะตรงที่ ทีมที่จะเข้าแข่งขันจะเป็นทีมฟุตบอลที่อยู่ในระบบบอลลีก ก็ตั้งแต่ไทยลีก 3 ขึ้นมา ส่วน เอฟเอ คัพ นั้นขอแค่ขึ้นทะเบียนเป็นทีมฟุตบอลก็สามารถส่งทีมเข้าแข่งขันได้

สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องของ ลีกคัพ คือ กฎ การเป็นเจ้าบ้าน ที่จะให้สิทธิ์ทีมที่อยู่ในระดับต่ำกว่า ได้เป็นเจ้าบ้าน เว้นแต่ทีมในระดับเดียวกันก็เอาผลการจับสลากเจ้าบ้านเลย

ดีอย่างไรสำหรับกฎนี้ เห็นได้ชัดว่า โอกาสที่ทีมในลีกระดับล่างจะได้เล่นกับทีมในระดับสูงในบ้านตัวเองนั้น มันน้อยมาก ๆ ก็จะได้โอกาสก็บอลถ้วยแบบนี้แหล่ะ

โดยเฉพาะในไทยลีก 3 มันห่างไกลมากที่จะมีโอกาสรับมือทีม “ระดับท็อป” ของลีกสูงสุด

เราจะเห็นได้ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ที่ทีมในลีกล่าง มีแฟนบอลเข้าไปชมกันอย่างล้นลามเมื่อยามได้เปิดบ้านรับมือทีมใหญ่ คนเข้าชมจนล้นสนาม

ภาพแบบนี้ก็เกิดขึ้นไปเมื่อวันพุธที่ผ่านมา สนามกีฬามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สนามเหย้าของ เอ็มเอช นครศรีฯ ซิตี้ ในไทยลีก 3 โซนภาคใต้ ถ้าดูในข้อมูลอย่างเป็นทางการจากไทยลีก ความจุ 1,000 คน

แต่ในเกมนี้ที่เปิดบ้านรับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สนามนี้ถูกปรับให้มีความจุเพิ่มมากขึ้น เพราะกระแสทีมใหญ่มาเยือน ที่ถือเป็นแรงดึงดูดให้แฟนบอลสนใจจะเข้ามาดูเกมนี้

จากใบรายงานผลการแข่งขัน ยอดผู้ชม 9,456 คน ที่เข้ามาชมเกมการแข่งขัน นั่นคือ 9.4 เท่าจากความจุปกติ จากภาพบรรยากาศของการแข่งขัน จะเห็นแฟนบอลอยู่รายล้อมสนามการแข่งขัน ด้วยที่นั่งแบบชั่วคราว

ถือเป็นมิติใหม่ เป็นสถิติผู้เข้าชมใหม่ของสโมสรแห่งนี้ แต่นอนว่ายอดผู้ชมขนาดนี้ “เงิน” ที่ไหลเข้าสู่สโมสร 1.25 ล้านบาท สำหรับค่าตั๋ว และ 1.44 ล้านบาท สำหรับของที่ระลึก

เบ็ดเสร็จ ร่วม 2.7 ล้านบาท เป็นยอดเงินที่เกิดขึ้นสำหรับสโมสรเจ้าบ้าน เอ็มเอช นครศรีฯ ซิตี้ ยังไม่รวมธุรกิจการค้าที่เกิดขึ้นบริเวณสนามการแข่งขัน เรียกว่า “รับทรัพย์” กันไปตาม ๆ กัน

ส่วนสกอร์อย่าไปคาดหวังมากครับ ยี่ห้อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ให้ความสำคัญกับทุกรายการที่ลงแข่งขัน ดาวดังของทีมลงกันแบบไม่ไปแหกตาคนดู ผลกำไรก็เกิดกับทุกฝ่าย บอลสนุก คนเชียร์เยอะ รายได้หมุนเวียนในจังหวัด นี่แหล่ะครับ “แม่เหล็ก” ของวงการฟุตบอล

ข่าวคราวความเคลื่อนไหว บอลลีกไทย ก็ยังมีเรื่อย ๆ โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนหัวหน้าผู้ฝึกสอน การท่าเรือ เอฟซี เป็นสโมสรล่าสุด ที่ “แยกทาง” กับ สกอต คูเปอร์ เรียบร้อยแล้ว แล้วดัน แมท ฮอลแลนด์ ขึ้นมารับหน้าที่แทน

จะว่าไปแล้ว การท่าเรือ เอฟซี เป็นทีมที่เปลี่ยนหัวหน้าผู้ฝึกสอนบ่อย สูสีกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก็อย่างว่า ทีมใหญ่ เป้าหมายสูงเมื่อเห็นว่าเริ่มจะหลุดจากเป้าหมาย ก็ต้องคิดไว ทำไว แก้ไขให้เร็ว

ส่วนแก้แล้วดีไหม อันนี้ต้องให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้นครับ ส่วน “โค้ชโอ่ง” ก็กลับไปทำหน้าที่กับ พีที ประจวบ เอฟซี อีกครั้ง

ปิดท้าย อเล็กซานเดอร์ กาม่า ผู้มีเกียรติประวัติในฐานะหัวหน้าผู้ฝึกสอนในระดับท็อปของลีกไทย ก็ตกลงปลงใจ รับงานงานพา ลำพูน วอริเออร์ ให้อยู่รอดในลีกสูงสุดให้ได้

เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองไทยไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา และก็ตามระเบียบเพื่อยืนยันว่าไม่ถูก “ฉก” ไปชูเสื้อกับทีมอื่น กาม่า ก็ถ่ายภาพร่วมกับ ”บอสตาล” พร้อมเสื้อสโมสร อันเป็นการยืนยันว่า ลงเครื่องแล้ว ไม่ได้ขึ้นรถผิดคัน

เอาหล่ะครับ ภารกิจในการสู้เพื่ออยู่รอดในฐานะอันดับสุดท้ายในตาราง กับทรัพยากรที่มีอยู่ตอนนี้ก่อนที่จะจะบเลกแรก จะมีทิศทางไปอย่างไร

ส่วนหลังจากปิดเลก การเติมเต็มจุดที่ขาดเพื่อให้อยู่รอด น่าจะเรื่องให้น่าติดตาม อย่าลืมนะครับ หัวหน้าผู้ฝึกสอน เป็น “แม่เหล็ก” ดึงดูดนักเตะที่หมายตาได้เหมือนกัน ไม่แน่เราอาจเห็นนักเตะ “คู่บุญ” ถูกดูดมาก็ได้

จับตาดูกันต่อไปครับ “ฝีมือ” ระดับ กาม่า จะพลิกโฉม “ราชันโคขาว” ได้หรือไม่ และสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไรกัน

เครดิตภาพ : FB Nakhonsi Sports ,   Lamphun warriors , https://www.matichon.co.th/

by TTDad

Warut