จะไม่หนาวแล้วใช่ไหมมืองไทย? ที่ต้องถามแบบนี้ก็เพราะยังไม่มีความรู้สึกใด ๆ เลยว่านี่คือหน้าหนาว เดือนสุดท้ายของปีที่ปกติแล้วต้องมีไอเย็น มีความหนาวย่างกรายเข้ามาบ้าง
กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนว่าจะมีอากาศแปรปรวน ต่อด้วยอุณหภูมิลดลง 1 – 2 องศาที่ภาคเหนือ อีสาน 3 – 5 องศา ภาคใต้นี่เจอพายุจากมรสุม ปรับตัวกันไปครับ
ฟุตบอลไทย เดินทางมาถึงกลางฤดูกาล โดยเฉพาะไทยลีก 1 ที่จบการแข่งขันในเลกแรกไปแล้ว ก็เป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่คว้าแชมป์เลกแรกไปได้แบบไร้พ่าย พ่วงด้วยสถิติมากมาย แน่นอนว่า ยอดแฟนบอลที่เข้าชมเกมในบ้านสะสมที่เกือบ 1.5 แสนคน จาก 8 นัดที่ลงเล่นในบ้าน ทิ้งห่างอันดับ 2 บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ร่วม ๆ 1 แสนคน
จะบอกว่านี่คือต้นแบบที่อยากให้สโมสรอื่นเดินตาม เพราะการสร้างฐานแฟนบอลจนมีคนดูเฉลี่ย 1.8 หมื่นคนในแต่ละนัดนั้นควรจะมีสนามอื่น ๆ ที่มีตัวเลขเกิดขึ้นแบบนี้บ้าง นอกจากเงินค่าตั๋วที่จะได้แล้ว บรรดาของที่ระลึก ธุรกิจแวดล้อมสนามการแข่งขัน รวมถึงในจังหวัด ก็ได้รับผลประโยชน์ไปด้วย
คะแนนที่ทิ้งห่างอันดับ 2 ที่ 9 คะแนน ถือว่าห่างพอสมควร แต่อันดับ 2 – 4 นั้นห่างกันแค่ 2 คะแนน ทำให้การแย่งชิงอันดับ 2 ค่อนข้างน่าสนใจมากกว่า
ที่บอกว่าน่าสนใจเพราะเรื่องโควต้า เอซีแอล 2023 ที่มีการปรับ อันจะทำให้อันดับ 2 ของลีกปีนี้มีโอกาสได้ไปค่อนข้างสูง เพราะแชมป์น่าจะไม่เปลี่ยนมือ โควต้าถ้าไม่ได้แชมป์ เอฟเอคัพ อันดับ 2 จึงมีโอกาสได้ไปมากกว่า
ส่วนท้ายตารางก็มีการสลับตำแหน่งกันในนัดสุดท้าย เมื่อ หนองบัว พิชญ เอฟซี กับ ขอนแก่น ยูไนเต็ด ไม่สามารถเอาชนะกันได้ เช่นเดียวกับ พีที ประจวบ เอฟซี กับ ลำปาง เอฟซี ก็แบ่งแต้มกัน
ทำให้หลังจากจบในนัดสุดท้ายของเลกแรก เป็น ลำปาง เอฟซี ที่อยู่ในอันดับสุดท้ายที่ 9 คะแนน หนองบัว พิชญ เอฟซี 10 คะแนน ขอนแก่น ยูไนเต็ด 11 คะแนน อยู่ในพื้นที่ ตกชั้นร่วมกัน
เหนือขึ้นมาเป็น พีที ประจวบ เอฟซี 13 คะแนน เท่ากับ ลำพูน วอริเออร์ แต่ผลต่างประตูได้เสียน้อยกว่า ถึงจะไม่อยู่ในพื้นที่สีแดง ก็หนีไปไหนกันไม่ไกล
แน่นอนว่าเลกสองต้องมีการปรับทีมกันแน่นอน ว่าแต่ว่าทีมไหนจะปรับกันอย่างไร เท่าที่เห็นก็จะมี ลำพูน วอริเออร์ เท่านั้นที่มีการปรับเปลี่ยนหัวหน้าผู้ฝึกสอนเป็น อเล็กซานเดอร์ กาม่าส่วนทีมอื่นยังคงใช้หัวหน้าผู้ฝึกสอนคนเดิมจากเลกแรก
หลักเกณฑ์ที่ทีมจะปรับเปลี่ยนผู้เล่นนั้น ขออนุญาตยกระเบียบการแข่งขันที่เกี่ยวข้องมาสักเล็กน้อย
29.8 การส่งรายชื่อขึ้นทะเบียนระหว่างฤดูกาลแข่งขัน องค์กรสมาชิกสามารถเพิ่มเติม หรือเปลี่ยนแปลง การส่งรายชื่อขึ้นทะเบียนในข้อ 29.6 ตามจํานวนที่กําหนดไว้ในข้อ 29.2 และข้อ 29.3 ได้ใน ระหว่างช่วงเวลาที่ฝุายจัดการแข่งขันกําหนด หากพ้นจากกําหนดดังกล่าวไปแล้ว จะไม่อนุญาตให้มีการเพิ่มเติม หรือ เปลี่ยนแปลง รายชื่อขึ้นทะเบียนได้อีก
โดยในการเพิ่มเติมรายชื่อแต่ละครั้ง องค์กรสมาชิก จะต้องดําเนินการส่งหลักฐานตามข้อ 29.5 ให้กับฝุายจัดการแข่งขัน ทราบก่อนไม่น้อยกว่า 3 วันทําการ จึงจะส่งรายชื่อลงทําการแข่งขันได้
29.8.1 การส่งรายชื่อขึ้นทะเบียนระหว่างฤดูกาลแข่งขัน องค์กรสมาชิก สามารถเพิ่มเติมรายชื่อนักกีฬาฟุตบอลได้ หากยังขึ้นทะเบียนไม่ครบตามจํานวนที่ระบุไว้ในข้อ 29.2 และ 29.3
29.8.2 การถอนรายชื่อจากทะเบียนระหว่างฤดูกาลแข่งขัน องค์กรสมาชิก สามารถถอนรายชื่อนักกีฬาฟุตบอลได้จํานวนสูงสุดไม่เกิน 5 คน ซึ่งในจํานวนดังกล่าว องค์กรสมาชิกสามารถถอนรายชื่อนักกีฬาฟุตบอลต่างชาติได้จํานวนสูงสุดไม่เกิน 2 คน ทั้งนี้ ในกรณีที่ถอนรายชื่อนักกีฬาฟุตบอลเกินกว่าที่กําหนดข้างต้น ให้ลดจํานวนนักกีฬาฟุตบอลสูงสุดตามข้อ 29.2 และลดจํานวนนักกีฬาฟุตบอลต่างชาติสูงสุดตามข้อ 29.3 ลงตามจํานวนที่องค์กรสมาชิกได้ดําเนินการถอนนักกีฬาฟุตบอลที่เกินกว่าที่กําหนดไว้
นั่นหมายความว่า การเปลี่ยนทีมแบบยกชุดทำไม่ได้ จะถอนรายชื่อมากก็ต้องไปดูว่าเหลือไม่น้อยกว่า 20 คนหรือไม่ ซึ่งตอนนี้มีข่าวคราวที่เริ่มมีการปล่อยนักเตะออกจากทีมกันบ้างแล้ว
แล้วก็น่าตกใจที่นักเตะที่จะถูกปล่อยออกจากทีม เป็นนักเตะที่เพิ่งซื้อไปใช้งานไม่นานด้วยมูลค่าการซื้อขายเป็นสถิติของลีก ซึ่งก็ต้องรอการยืนยันว่าจะจริงหรือไม่ และจะไปลงเอยกันที่สโมสรไหนกันแน่
ส่วนไทยลีก 2 ยังคงเตะกันอยู่ เข้าสู่ท้ายเลกแรกแล้ว นครศรี ยูไนเต็ด ยังยึดจ่าฝูงได้ต่อเนื่อง ถือเป็นทีมที่มีโอกาสเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้ ทั้งสภาพทีมโดยรวม แถมยังมีกุนซือที่ไล่ล่าความสำเร็จในการพาทีมเลื่อนชั้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน วานเดอร์เลย์ จูเนียร์
อยุธยา ยูไนเต็ด ก็ยังคงเกาะกลุ่มผู้นำ เพื่อสิทธิ์เลื่อนชั้นอัตโนมัติ ส่วนอันดับที่อยู่ในข่ายเพลย์ออฟ ก็ยังคงน่าลุ้นอยู่เหมือนกัน จะมีโอกาสลับตำแหน่งกันได้อยู่อีกเยอะ
แต่สิ่งที่ไม่ค่อยจะดีคือกระแสที่นักฟุตบอลคนนึงออกมาโพสต์ว่าสโมสรต้นสังกัดสั่งให้ล้มบอล แลกกับเงินเดือน แต่ก็ไม่ได้ คนนำมาซึ่งการฟ้องร้องของสโมสรต้นสังกัด แม้นจะออกมาขอโทษแล้วก็ตาม
ประเด็นนี้ ถือว่าแรงมาก เพราะไม่ว่าใครจะพูดความจริงว่า “ล้มหรือไม่ล้ม” กระบวนการกฎหมายคงต้องดำเนินต่อ ทั้งความอาญา ในฐานล้มบอล การโพสต์ลงสื่อสาธารณะ อันอาจมีความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์
ต้องคิดให้ดี ก่อนจะพิมพ์อะไร โดยเฉพาะประเด็นที่อาจนำพาให้ตัวเองเป็นคดีความ
มาต่อกับฟุตบอลโลกที่กาตาร์ก็เดินทางมาถึงรอบแรกนัดสุดท้ายของแต่ละกลุ่มแล้ว ใครบ้างที่เข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ตอนนี้ก็คงได้รู้กันไปแล้ว
มาดูเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับฟุตบอลโลกที่จัดขึ้นในตะวันออกกลาง ที่เวลาแข่งขันนั้นผิดเพี้ยนไปจากที่เราคุ้นเคยกัน ทำให้หลายลีกต้องหยุดพักการแข่งขัน เพื่อให้ทีมชาติได้ลงเล่นกันร่วม 1 เดือน กว่าจะกลับมาเตะกันอีกทีก็เกือบช่วงสิ้นปี
กาตาร์ เจ้าภาพการแข่งขันรอบนี้ ลงทุนเพื่อการเป็นเจ้าภาพด้วยตัวเลขที่น่าตกใจที่ 2 แสนล้านเหรียญ คิดกลับมาเป็นเงินไทยก็แค่ 7.5 ล้านล้านบาท ตามโปรเจคที่มีชื่อว่า กาตาร์ เนชั่นแนล วิชั่น 2030 เป็นโปรเจคใหญ่ที่จะ “เปลี่ยนกาตาร์ให้เป็นสังคมขั้นสูงที่สามารถบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน” ภายในปี 2030 เป้าหมายการพัฒนาของแผนแบ่งออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม มนุษย์ และสิ่งแวดล้อม
แน่นอนว่า ฟุตบอลโลกที่เกิดขึ้น ทำให้โปรเจคนี้ประดุจถูกเร่งให้สำเร็จเร็วขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสาธารณูปโภค อย่างเช่นสนามการแข่งขันที่ทันสมัย มีระบบปรับอากาศ โรงแรมที่พัก การเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว และอื่น ๆ อีกมากมาย
แน่นอนว่า ความมั่งคั่งบนธุรกิจพลังงาน เป็นต้นทุนที่ทำให้กาตาร์สามารถทำได้ในสิ่งที่พวกเขาวาดหวังไว้ แม้ว่าผลงานของทีมชาติในการเข้าร่วมแข่งขัน จะล้มเหลว แต่ก็แสดงให้เห็นว่า พวกเขายังต้องเร่งสร้างมาตรฐานของตัวเองให้สูงขึ้น
การเป็นแชมป์เอเชียทีมล่าสุดยังคงไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับทีชาติในระดับท็อปของโลกในเวทีฟุตบอลโลกได้
ส่วนในการติดตามชมเกมการแข่งขันในประเทศไทย ถึงแม้จะจบการแข่งขันในรอบแบ่งกลุ่มแล้ว ก็ยังคงฝุ่นตลบในเรื่องของการแพร่ภาพผ่านทีวี
ลำพังช่องฟรีทีวีผ่านการรับสัญญาณทางภาคพื้น ก็ไม่เกิดปัญหาอะไร แต่ในรายที่รับชมผ่านกล่อง IPTV ที่ไม่ใช่ของผู้ได้รับสิทธิ์ นั้นไม่สามารถทำได้
เกิดปัญหา “จอดำ” ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะบรรดารายการกีฬาหลายรายการที่มีการซื้อสิทธิ์มาแพร่ภาพ ก็มีปัญหาในลักษณะคล้ายกัน เพียงแต่คราวนี้มันมีประเด็นที่รุนแรงกว่า
นั่นคือ เงินส่วนใหญ่ที่จ่ายไปในการซื้อลิขสิทธิ์สัญญาณภาพมาเผยแพร่ในประเทศไทย มาจากเงินกองทุน กทปส. ตั้ง 600 ล้านบาท แต่เอกชนที่ได้สัญญาณไปส่วนใหญ่ลงเงิน 300 ล้าน
วุ่นวายด้วยการอ้างสิทธิ์จนสุดท้าย ศาลทรัพย์สินทางปัญญา ให้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์แก่เอกชนที่ได้รับสิทธิ์ที่ไปร้อง จนนำมาซึ่งอาการ “จอดำ” สำหรับกล่อง IPTV เจ้าอื่น ๆ
เฮ้อ! ความวุ่นวายนี้ ท่าทางจะลากยาวไปจนจบฟุตบอลโลกโน่นแหล่ะครับ
เครดิตภาพ : https://www.matichon.co.th/sport , https://www.siamsport.co.th/
by TTDad